โรบิน วิลเลียมส์ ขึ้นปกนิตยสาร TIME ฉบับพิเศษ วางแผงวันนี้

นับเป็นปรากฏการณ์ไว้อาลัยที่โลกต้องจารึก ภายหลังการจากไปเพียงหนึ่งวันของโรบิน วิลเลียมส์ นักแสดงฮอลลีวู้ดและสแตนด์อัพ คอเมเดี้ยน ผู้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนทั่วโลก นิตยสารไทม์ (TIME) ก็ได้เผยถึงการตัดสินใจทำสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อให้โลกจดจำการสูญเสียครั้งนี้ว่ามีแผนจะตีพิมพ์นิตยสารฉบับพิเศษขึ้นมา และจะวางแผงแล้วในวันนี้(15 สิงหาคม)

สำหรับนิตยสารไทม์ฉบับพิเศษ หน้าปก โรบิน วิลเลียมส์ ฉบับนี้ ภายในจะเป็นการเก็บรวบรวมบันทึกคำไว้อาลัยและการระลึกถึง โรบิน วิลเลียมส์ จากคนดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นายแพทย์แพตช์ อดัมส์, จิม นอร์ตัน, ดิค คาเวตต์, อลัน อัลดา และนาธาน เลน เป็นต้น รวมถึงคำไว้อาลัยจาก ริชาร์ด คอร์ลิสส์ และเจมส์ โพนีโวซิค จากนิตยสารไทม์ด้วย

ส่วนรูปหน้าปกนั้น นิตยสารไทม์ใช้รูปของโรบิน วิลเลียมส์ ที่ถ่ายโดยช่างภาพ นิเกล แพร์รี่ เมื่อปี พ.ศ. 2550 ซึ่งตอนนั้น วิลเลียมส์ได้ขึ้นปกนิตยสารไทม์เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยขึ้นปกไทม์ไปครั้งหนึ่งแล้ว ในบทบาทของมอร์ก จากซีรีส์ “มอร์ก แอนด์ มินดี้” (Mork & Mindy) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2522

หลายคนอาจพอทราบถึงสาเหตุที่วิลเลี่ยมส์คิดสั้นฆ่าตัวตายแล้วว่าน่าจะมาจากหลายสาเหตุ เขาเป็นทั้งโรคซึมเศร้า มีปัญหาการติดเหล้าจนต้องเข้ารับการบำบัด และที่น่าตกใจมากที่สุดคือมีปัญหาด้านการเงิน โดยเว็บไซต์ “เรดาร์ ออนไลน์” ได้อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า ช่วงไม่กี่วันก่อนที่วิลเลียมส์จะฆ่าตัวตายนั้น เขานอนมากถึงวันละ 18 ชั่วโมง แถมยังไม่นึกอยากอาหาร

“โรบินทุกข์ทนกับความซึมเศร้า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่นอนทั้งวันทั้งคืน ห้องนอนเขาติดผ้าม่านสีดำ เพราะเขาไม่ชอบให้ห้องนอนมีแสงเข้า เขาไม่กินอะไร เขาโยนปัญหาทิ้งนอกเตียง และเขามักจะบ่นว่ารู้สึกล้า ทั้งที่เพิ่งนอนมา 20 ชั่วโมง”

แหล่งข่าวคนเดิมยังบอกอีกว่า… ความจริงแล้ววิลเลียมส์มีชีวิตส่วนตัวที่ได้แรงผลักดันมาจากความเศร้า และการแสดงตลกคือการระบาย
“ความสามารถด้านการแสดงตลกของโรบินมาจากชีวิตส่วนตัวที่แสนเศร้า การหัวเราะคือวิธีที่เขาใช้รับมือกับมัน ตลอดชีวิตผู้ใหญ่ของเขา เขาต้องสู้กับความซึมเศร้ามาโดยตลอด และมันก็เป็นแบบนี้เสมอมา”

ขณะเดียวกันข่าวการตายของเขาซึ่งช็อคความรู้สึกของคนมากมายก็กลายเป็นประเด็นให้เขาถูกโจมตีแม้จะหาชีวิตไม่ไปแล้วในโลกโซเชียล โดยจุดที่ถูกพุ่งเป้ามากที่สุดคือเรื่องความอ่อนแอ ไร้พลัง และที่สำคัญคือการนำมาซึ่งตัวอย่างของการใช้ชีวิตในเชิงล้มเหลว

ต่อไปนี้คือโพสต์ของแดน สเปนเซอร์ สามีของรีเบคก้า สเปนเซอร์ ผู้ช่วยของวิลเลียมส์และเป็นคนพบศพเป็นคนแรก

“สมัยเป็นเด็ก เขามักอยู่ในห้องเล่นตุ๊กตามทหารตามลำพัง ขณะที่พ่อแม่ออกไปทำงาน คุณลองนึกภาพพ่อแม่ที่บอกเขาว่าให้เป็นทหารน้อยแสนดีในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่สิ ตลอดวันเขาต้องถูกทิ้งให้เล่นกับเพื่อนๆ ซึ่งก็คือกองทัพน้อยๆ ตามลำพัง และพอพ่อแม่กลับมา รางวัลสำหรับเด็กดีก็คือตุ๊กตาทหารให้เขาสะสมเพิ่มอีก วิลเลียมส์เก็บของเล่นพวกนั้นติดตัวมาตลอดชีวิต และบ่อยครั้งที่มันจะถูกจัดวางอย่างโดดเด่นบนตู้สั่งทำพิเศษ”

แดนยังอ้างอิงถึงการทัวร์ให้กำลังใจทหารของวิลเลี่ยมส์ ว่า “เขาเดินทางไปยังสถานที่อันตรายอย่างอัฟกานิสถาน และอิรัก ในช่วงสงคราม เพื่อให้กำลังใจกองทัพทหาร บางทีมันอาจเป็นวิธีตอบแทนเพื่อนสมัยเด็กของเขา พวกเราโชคดีที่ได้อยู่ในโลกของเขา และเห็นฮีโร่ของเราพิชิตโลก เราอยู่กับเขาในการเดินทางทั่วโลก เขาเอาทุกอย่างอยู่หมัด! มันเป็นชัยชนะที่สุดยอด! เหนืออื่นใดมันเป็นประสบการณ์สุดพิศวง! เราโชคดีที่ได้ติดตามเขาไปพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ ความรัก และความเมตตา เขาทำได้! เขาปกป้องโลก!”

นอกจากนี้แดนยังกล่าวถึงรักครั้งใหม่แต่ไม่ระบุนามซึ่งน่าหมายถึง ซูซาน ชไนเดอร์ ภรรยาคนปัจจุบัน ที่แต่งงานกันมา 3 ปี แต่ข้อความที่กินใจอย่างที่สุดคือประโยคในท่อนหลังๆ

“หลังจากการต่อสู้นานกว่าทศวรรษ ตอนจบแสนสุขอยู่ไม่ไกลสายตา แต่การต่อสู่ครั้งสุดท้ายของเขา เป็นความเจ็บปวดที่ได้รับรู้ โอ้… ถ้าเพียงคุณได้เห็นสงครามภายในตัวเขา หัวใจคุณคงหยุดเต้น เราสู้ไปกับเขา แต่เขาพ่ายแพ้ ตอนนี้ฮีโร่ของพ่ายแพ้ เขาลาจากไปแบบทหาร การรบครั้งสุดท้ายสิ้นสุด และท้ายที่สุดแล้วเจ้าเด็กขี้เหงาก็ได้อยู่อย่างสงบ”

ข้อความของแดนน่าจะทำให้ใครหลายคนเข้าใจถึงตัวตนของวิลเลียมส์ในมุมที่น้อยคนจะนึกถึง และไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรต่อวิธีที่เขาใช้ในการอำลาโลกนี้ไป แต่เราเชื่อว่าชื่อของ “Robin Williams จะคงอยู่ในใจคนมากมายไปอีกนานเท่านาน

เรื่อง “จิบลิ” ภาพ “นิตยสาร Time”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up