สู่ขวัญ บูลกุล ผู้บัญชาการหลังบ้านแห่งฟาร์มโชคชัย ชีวิตใหม่ที่ไม่ใช่คนข่าว

สู่ขวัญ บูลกุล ผู้บัญชาการหลังบ้านแห่งฟาร์มโชคชัย ชีวิตใหม่ที่ไม่ใช่คนข่าว

ห่างหายไปจากหน้าจอทีวีในฐานะผู้ประกาศข่าวไปพักใหญ่ แต่เชื่อว่าในวงการสื่อมวลชนชื่อของผู้หญิงเก่งอย่าง สู่ขวัญ บูลกุล ก็ไม่ได้ถูกลบเลือนไปจากใจของบรรดาแฟนข่าว ในวันนี้ชีวิตของเธอเป็นอย่างไรบ้าง Exclusive Talk โดยแพรวดอทคอมจะพามาพูดคุยกับเธอให้หายคิดถึงกัน หลังจากที่ไม่ได้เห็นลีลาการอ่านข่าวของผู้หญิงคนนี้มานาน

สู่ขวัญ บูลกุล

ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่ขวัญอ่านข่าวทางรายการโทรทัศน์เลย

คุณสู่ขวัญ : ไม่ได้อ่านแล้วค่ะ พี่ขวัญไม่ได้ทำรายการเรื่องเล่า ฯ มานานแล้ว ถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงพัก ส่วนอนาคตข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที

แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง นอกจากดูแลครอบครัว

คุณสู่ขวัญ : ตอนนี้ก็เป็นช่วงใช้ชีวิตของพี่ค่ะ อยากทำไรทำ อะไรที่คิดว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำ ทำน้อยไปก็ทำเพิ่มเติม ตอนนี้ให้เวลากับตัวเอง ให้เวลากับคนสำคัญๆ ในชีวิต ครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ พี่ว่าทุกคนพอมันเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลือ พี่ไม่อยากใช้เหมือนเดิมก็แค่นั้นเอง

สู่ขวัญ บูลกุล

ตั้งแต่มีเวลาให้ครอบครัวดูทุกอย่างลงตัวมาก ครอบครัวของพี่ขวัญตอนนี้เป็นไงบ้างคะ

คุณสู่ขวัญ : มันก็มีหลายอย่างปนกันไปนะ ไม่ใช่แบบครอบครัวที่มีความสุขไปทุกๆ วัน พี่ขวัญคิดว่าครอบครัวพี่ขวัญเป็นครอบครัวคนปกติ ไม่ได้แบบว่าเลิศหรู ดีเพอร์เฟคท์ไปกว่าของใครเลยค่ะ ชีวิตคู่ก็ปกติ มันมีบางวันที่ดีและบางวันที่ไม่ดี มีบางวันที่เรารักใคร่กลมเกลียว เห็นด้วย เธอพูดอะไร ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก หรือมีบางวันที่เราไม่เห็น ไม่เข้าใจในความคิด ไม่เข้าใจในเหตุและผลของเขา พี่ขวัญคิดว่าเป็นครอบครัว เป็นชีวิตคู่ที่เป็นปกติ เราเข้าใจกันและไม่เข้าใจกัน

รู้สึกอย่างไรที่หลายคนมองชีวิตคู่ของพี่ขวัญเป็นต้นแบบที่น่าเอาอย่าง

คุณสู่ขวัญ : สำหรับชีวิตคู่มันสำคัญที่ว่าคนสองคนมองจุดหมายปลายทางของชีวิตคู่อย่างไร ถ้าบางคนคิดว่าก็ไม่เป็นไรอยู่ด้วยกัน ถ้ามันอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกย้ายกันไป หรือบางคนที่พี่ขวัญคิด เชื่อว่าเป็นพี่และพี่โชค คือเรายอมรับในความเป็นธรรมชาติของชีวิตคู่ว่ามันจะมีทั้งวันที่เราเห็นด้วยและวันที่เราไม่เห็นด้วย มันจะมีวันที่ดี และวันที่มีปัญหาค่ะ เพราะฉะนั้นวันที่มีปัญหา ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหรือมันเป็นธรรมชาติของชีวิตคู่ที่เราน่าจะแก้ไขและผ่านพ้นไปด้วยกัน ตลอดสิบปีที่แต่งงานมา มันมีทั้งดีและไม่ดี และทุกครั้งที่พี่พูดได้ในวันนี้ พี่จะบอกได้อีกว่า

สู่ขวัญ บูลกุล

จากนี้ไปอีกหลายๆ สิบปีที่จะอยู่ด้วยกัน มันจะมีวันที่ทะเลาะกัน อาจจะทะเลาะกันหนักกว่าที่เคยทะเลาะก็ได้ หรืออาจจะยิ่งค้นพบอะไรเพิ่มมากขึ้น แล้วรู้สึกรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นก็ได้ พี่ขวัญคิดว่าสิ่งที่เราผ่านกันมาจนถึงวันนี้ พี่ขวัญคิดและพี่ขวัญมีความรู้สึกว่ามีบางวันที่แย่มากๆ แต่วันนี้เราได้ผ่านมาหมดแล้ว เรามีความรู้สึกว่า เราดีใจที่วันนั้นเราอดทน เราไม่เอาแต่ใจตัวเอง เราใช้เหตุผล เราใจเย็น เราปล่อยให้วันเวลารักษา หรือเราพยายามเปิดใจให้กว้างหรือเราเปลี่ยนมุมมอง แล้วเราก็ผ่านชีวิตคู่มาด้วยกันจนถึงวันนี้ นั่นเป็นสิ่งที่พี่ขวัญดีใจ เราก็บอกกับตัวเองว่า นั่นไงล่ะ สิ่งที่เราได้ทำมามันถูกต้อง ดีใจที่อดทน ดีใจที่ฟัง ดีใจที่ไม่ทำตามใจตัวเอง เราพิสูจน์มันมาตลอดทางว่า เราได้เรียนรู้ เราได้ใช้ชีวิตคู่อย่างแท้จริง

ทุกสื่อที่ถามเรื่องนี้ พี่ขวัญเข้าใจนะเพราะว่าภาพที่เห็นมันสวยงาม ต่างคนต่างมีหน้าที่ ต่างคนต่างอาจจะมีคนที่ชื่นชอบหรือว่าเป็นที่รู้จัก มันดูสวยงาม แต่พี่ขวัญไม่อยากจะให้ทุกคนมองมาที่พี่แล้วบอกว่า อุ้ยอยากมีชีวิตแบบนี้ มันดูดีจังเลย เพอร์เฟคท์มากๆ เลยค่ะ พี่ขวัญบอกเลยว่าไม่ค่ะ ชีวิตคู่พี่เป็นชีวิตปกติ อยู่ที่ใครแต่ละคน ถ้ามีความรู้สึกว่า เอออยากมีชีวิตคู่แบบพี่ ชีวิตคู่แบบพี่คือ เราเรียนรู้ เราอภัย เราอดทน แล้วเราก็โตไปด้วยกันค่ะ

สู่ขวัญ บูลกุล

หลายอย่างในตัวพี่ขวัญทำให้ผู้หญิงหลายคนชื่นชม ส่วนตัวพี่รู้สึกอย่างไรบ้าง

คุณสู่ขวัญ : พี่ก็ขอขอบคุณมากค่ะ สำหรับใครที่มองเราด้วยความชื่นชมนะคะ หรือแม้กระทั่งใครก็ตามที่มองเราว่าเป็นไอดอล พี่ขวัญก็พยายามที่จะทำตัวให้เหมาะสมกับความชื่นชม รวมถึงพยายามทำตัวให้เหมาะสมกับการที่เขาเห็นเราเป็นต้นแบบของเขานะคะ แต่พี่จะบอกเสมอว่าพี่ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึงนะ ไม่ได้โดดเด่นในทุกกๆ เรื่องเหมือนที่ใครจะคาดหวังตั้งแต่เด็กๆ เรียนหนังสือ ชีวิตพี่ไม่เคยได้รางวัลอะไรเลยนะ ตอนเด็กๆ เรียนตกๆ หล่นๆ เป็นเด็กที่แบบจะเอ็นทรานซ์อะไรดี ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ทำงานก็บอกว่ากลัว ทำได้หรือเปล่าไม่รู้ ตื่นเต้น มือเย็นทุกอย่าง พี่แค่จะบอกว่าก็ไม่ได้มีพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่สิ่งที่พี่ทำคือ พี่รับผิดชอบหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด ตั้งแต่เด็กไม่เคยตั้งความหวังว่า โตขึ้นฉันจะต้องเป็นนักธุรกิจ โตขึ้นฉันจะต้องทำงานทีวี ฉันจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียง พี่เพียงแต่ว่าอะไรที่อยู่ในมือพี่ ณ วันนั้น ณ เวลานั้น พี่ทำดีที่สุดเสมอ พี่อาจจะไม่ใช่คนเรียนเก่งด้วยตั้งแต่เด็ก เดี๋ยวตก เดี๋ยวหล่น เดี๋ยวสอบซ่อมแล้วแต่ แต่พี่ก็พยายามทำดีที่สุด

พี่แค่คิดแล้วพอถึงทำงาน พี่ก็ยังคิดว่างานที่พี่ทำ พี่ขอทำรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องได้รับรางวัล คนจะต้องชื่นชมเราไม่ได้อยู่ในความคิดเลยค่ะ

สู่ขวัญ บูลกุล

จนถามพี่วันนี้ว่าพี่มองอนาคตต่อไปข้างหน้าอย่างไร พี่ก็ตอบเหมือนเดิมว่า พี่รู้แค่ว่าพี่จะทำวันนี้ของพี่ให้ดีที่สุด และผลของการกระทำของพี่ในวันนี้จะพาพี่ไปยืนจุดไหนในอนาคต นั่นเป็นเรื่องที่พี่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่พี่จะตั้งว่าอีก 5 ปีข้างหน้า หนังสือจะต้องลงพี่หน้าปก พี่จะต้องได้ถ้วยสตรีดีเด่นจากนายกรัฐมนตรี พี่จะต้องเป็นผู้หญิงแห่งเอเชีย พี่ไม่เคยเลยค่ะ ไม่ใช่วิธีของพี่ค่ะ

เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่มองพี่เป็นไอดอล พี่จะบอกว่าพี่เป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ต่างจากคุณ อาจจะด้อยกว่าคุณด้วยซ้ำ แต่ว่าสิ่งที่พี่ทำคือ พี่ทำหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด พี่ไม่สนใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง พี่ขอแค่ว่าพี่ทำเต็มที่แล้ว อนาคตดีหรือเลว พี่รับมันได้

สู่ขวัญ บูลกุล
เป็นผู้หญิงที่คิดบวกแบบนี้มันเลยส่งผลให้ทุกอย่างในตัวพี่ยังเป๊ะแบบนี้ด้วยใช่ไหม

คุณสู่ขวัญ : มันก็อาจจะมีส่วนนะคะ แต่ก็ไม่ใช่แบบว่าทุกอย่างจะ feel good ตลอดเวลา พี่แค่มองชีวิตอย่างเป็นจริง มีความผิดหวังเข้ามาบ้าง มีปัญหา ท้อแท้บ้าง น้ำตาบ้าง นั่นคือเรื่องของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นถ้าพี่ยอมรับในสิ่งดีได้ ไม่ว่าวันไหน มันเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น พี่อาจจะไม่กระวนกระวายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันทุ่มเทขนาดนี้แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้ เพราะอย่างที่พี่บอก พี่ไม่เคยตั้งเป้า อย่างจะเล่นหนังยังแบบนี้ ฉันจะต้องเล่น ฉันจะต้องได้รางวัล ถ้าไม่ได้รางวัลนะ ฉันจะต้องเสียใจ ไม่เลยค่ะ พี่ขวัญก็แค่คิดว่ามีคนไว้ใจเรา แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำมีคุณค่า แล้วเราก็ทำมันดีที่สุด ถึงไหนถึงกัน แล้ววันนี้พี่ก็รู้สึกมีความสุข แต่บอกว่าพี่มองโลกในแง่ดีหรือเปล่า ก็เป็นไปได้ที่พี่อาจจะเลือกมอง คือสุขกับทุกข์มันเป็นสมมตินะคะ ผลของสุขและผลของทุกข์ตามที่เราสมมติกันมันเป็นประโยชน์และมันเป็นโทษกับตัวเราได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำยังไงกับสิ่งที่เรียกว่าสุขและทุกข์นั้น

วันนี้มีความสุขมากเลยค่ะ ใครๆ ก็มาชื่นชม ไปทางไหนคนก็ offer โน่น offer นี่ เรามีสิทธิพิเศษ แต่เรายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งนี้ นี่คือฉัน เห็นไหมฉันสำเร็จ ทุกคนจะต้องวิ่งเข้ามาหาฉัน แล้วถ้าพี่ขวัญยึดมั่นถือมั่นยึดติดกับสิ่งนี้ วันหนึ่งสิ่งนี้จะเป็นความทุกข์ของตัวเรา พี่เคยอ่านโค้ดคำพูดเป็นธรรมะอยู่ประโยคหนึ่ง เขาบอกว่า สุขกับทุกข์คืองูตัวเดียวกัน ทุกข์คือจับงูที่หัว จับปุ๊ปมันฉก เจ็บเลย แต่สุขคือจับงูที่หาง จับมันนานไปงูก็หันมาฉก เพราะฉะนั้นสุขกับทุกข์คือสิ่งเดียวกันค่ะ

สู่ขวัญ บูลกุล

แนวคิดแบบนี้เห็นว่าพี่ขวัญก็เอามาใช้กับการเลี้ยงลูกด้วยใช่ไหม

คุณสู่ขวัญ : ใช่ค่ะ คือพี่จะมองให้เป็นเรื่องปกติที่สุดไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ พี่คิดว่าหนึ่งชีวิตที่เกิดมา มีโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และเราได้ต่อสู้ไป พี่พร้อมจะรับนะ เพราะว่าพี่มีลูก อะไรก็แล้วแต่ที่มันเลวร้าย ถ้ามันเกิดขึ้นกับพี่ ลูกพี่ก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง มันอาจจะเกิดขึ้นกับลูกพี่ก็ได้ เพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดขึ้นกับพี่วันนี้ ถ้าพี่สามารถผ่านมันไปได้ มันจะเป็นประสบการณ์ที่สามารถเอาไปสอนลูกพี่ได้ด้วย วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าที่เขาโตขึ้น เขาอาจจะเจอปัญหา เจอเรื่องราวแย่ๆ พี่ก็คิดว่าเราจะได้มีประสบการณ์ที่เราผ่านมาแล้ว เราอาจจะแก้ปัญหาได้งี่เง่ามาก แล้วทุกอย่างมันจะแย่ไปกว่าเดิม หรือเราแก้ปัญหาได้ดีมาก มันหลุดพ้นจากปัญหานั้นไปได้ แต่อย่างน้อยไม่ว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยวิธีไหนและผลเป็นยังไง พี่ก็จะมีเวลาไปสอนลูกพี่ว่าอย่าทำเหมือนแม่ แม่เคยเจอแบบนี้แล้วเคยทำแบบนี้แล้วมันแย่กว่าเดิมอีก มันก็อาจจะเป็นกำลังใจ

พี่ไม่กลัวสุขหรือทุกข์ เพราะพี่เชื่อว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราจะทำให้ผลมันดีหรือไม่ดี ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เป็นผลดีกับตัวเราได้ เราไม่ได้วิเศษมาจากไหน เราก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มันจะต้องเจอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์ในใจ สมหวัง พลาดพลั้ง แต่ทุกอย่างที่เข้ามามันก็เป็นบทเรียนในชีวิต มันจะมีประโยชน์ต่อพี่ในอนาคตและมันจะมีประโยชน์ต่อลูกพี่ด้วยในอนาคตเช่นเดียวกัน

สู่ขวัญ บูลกุล
เท่าที่ฟังมาดูเหมือนพี่ขวัญจะใช้ธรรมะมาเป็นหลักในการใช้ชีวิต ศึกษาเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว

คุณสู่ขวัญ : จริงๆ พี่ก็เป็นคนพุทธมาตั้งแต่เกิด และคุณยายก็เลี้ยงมาแบบนี้ด้วย มันเลยซึมซับเข้าไปเอง ความคิดหรืออะไรต่างๆ แล้วพี่คิดว่า ธรรมะกับธรรมชาติ มันก็เหมือนกัน เราคงไม่ต้องอธิบายในประเด็นนี้ คือพี่ขวัญก็ยังสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่เป็นพุทธที่แบบพุทธจริงๆ ไม่ใช่เป็นพุทธแค่ในใบเกิด

ชีวิตทุกกวันนี้ยังคิดถึงการอ่านข่าวบ้างไหม

คุณสู่ขวัญ : อืม…คือพี่ไม่ยึดติดว่าเราทำทีวีแล้ววันหนึ่งเราจะต้องกลับไปทำทีวีอีก เรื่องการอ่านข่าวคิดว่าไม่แล้วค่ะในชีวิตนี้

แล้วงานแสดงจะมีให้เห็นอีกบ้างหรือเปล่า

คุณสู่ขวัญ : เล่นละครก็คงไม่ แล้วแต่จริงๆ ค่ะ พี่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต อาจจะทำงานออฟฟิศก็ได้ โลกนี้มันกว้างใหญ่ และมีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้เราได้เรียนรู้และรู้จัก เพราะฉะนั้นในวัน เวลาที่เรามีอยู่ ถ้าเราสามารถเลือกได้ เราน่าที่จะเลือกที่จะเรียนรู้อะไรที่มันหลากหลาย มันก็จะเป็นประสบการณ์ชีวิต และมันก็จะทำให้โลกของเรากว้างขึ้นด้วย

สู่ขวัญ บูลกุล
หลังจบการสนทนาครั้งนี้ อาจทำให้หลายคนอดเสียดายไม่ได้ที่จะไม่เห็นผู้หญิงคนนี้อ่านข่าวให้ฟังทางหน้าจอทีวีแล้ว แต่เชื่อว่าคนเก่งมีความสามารถแบบนี้ อาจจะมีผลงานด้านอื่นๆ ให้ได้ชื่นชมกันในบทบาทอื่นๆ อีกก็เป็นได้
เรื่อง : SRIPLOI
ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ

ติดตามอัพเดตเรื่องราวต่างๆจากนิตยสารแพรวให้สนุกยิ่งขึ้นได้ที่

www.facebook.com/praewmagazine

Instagram : @praewmag

และติดตามอ่าน แพรว E-Magazine ได้แล้ววันนี้เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น

  • Praew E-magazine
  • NaiinPann
  • Ookbee

Praew Recommend

keyboard_arrow_up