รูป Unseen ในหลวง

มหัศจรรย์ Unseen รูปในหลวง คนไทยโชคดีกว่าใครในโลก

Alternative Textaccount_circle
รูป Unseen ในหลวง
รูป Unseen ในหลวง

ถ้าคุณเป็นคนไทยที่รับรู้เรื่องราวและสิ่งที่ “ในหลวง” ทรงทําเพื่อประเทศชาติและประชาชนมานานกว่า 7 ทศวรรษ คุณจะพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ท่านอย่างไร

สําหรับบุคคลทั้ง 6 พวกเขาแสดงออกถึงความรู้สึกนี้ในรูปแบบแตกต่างกัน แต่เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน จึงเป็น “มหัศจรรย์ Unseen รูปในหลวง” ที่คุณอาจไม่เคยเห็นจากที่ไหน

พระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง และพระราชินี

ชูศักดิ์ วิษณุคํารณ
“ในหลวง” ของผมคือ “ภูมิพลโพธิสัตว์”
แค่เอ่ยชื่อ “อาจารย์ชู” ก็เชื่อว่าศิลปินวาดภาพ ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนคงรู้จักผลงานเขาดี ในฐานะศิลปินสร้างสรรค์พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมานานกว่า 15 ปี และอาจเรียกได้ว่าเป็นศิลปินคนเดียวที่ได้รับเลือกให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยความสูงเท่ากับตึก 4 ชั้น อีกหนึ่งผลงานที่เขาภูมิใจและเผยให้แพรวเห็นเป็นที่แรก ยังไม่รวมอีกหนึ่งผลงานเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ด้วยความยาว 80 เมตร ที่ทําให้รู้ว่าคนไทยโชคดีกว่าใครในโลก

พระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

พระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง รัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ

“ผมวาดรูปเลี้ยงชีวิตมาเกือบ 50 ปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นงานเขียนรูปสวยงามที่คนซื้อไปประดับบ้าน พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงยืนคู่กัน สูง 8 เมตร จะนําไปติดที่อาคารสินธร เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปี 2558 จะเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงและพระราชินีใหญ่ขนาดนี้ ให้คนรุ่นหลังเห็นว่าการเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงต้องเขียนพระราชอิสริยยศต่างๆ ให้ถูกต้องด้วย ซึ่งหลายท่านมักมองข้ามไป แต่นี่คือพระราชอิสริยยศของพระองค์ท่าน ถ้าเขียนผิด ภาพนี้ก็จะผิดไปนานเป็นร้อยๆ ปี เพราะฉะนั้นก่อนเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์องค์นี้ ผมจึงหาตํารามาศึกษาให้รู้จริงเกี่ยวกับเครื่องทรงทั้งหมด ทําทุกอย่างให้ถูกต้อง เพื่อเป็นต้นแบบให้ลูกหลานศิลปินรุ่นหลัง

“ส่วนอีกผลงานหนึ่งเป็นภาพวาดยาว 80 เมตร เป็นภาพพระราชกรณียกิจตั้งแต่วันขึ้นครองราชย์ จนถึงวันที่เหลืองเต็มแผ่นดิน เป็นการบันทึกเรื่องราวของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยปีก็ตาม งานชิ้นนี้จะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความรู้สึกของมหาชนที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ใช้เวลาเขียน 3 ปีแล้ว ยังไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ตั้งใจจะใช้เวลาเขียนทั้งหมด 4 ปี แล้วนำไปติดที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติวัดด่าน พระราม 3”

เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เขาสนิทสนมกับเจ้าของห้างซีคอนสแควร์ เพราะเคยช่วยวางแผนทำโฆษณามาก่อน ช่วงนั้นห้างเพิ่งเปิดได้ปีเดียว เขาจึงชักชวนเจ้าของห้างทำกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว เชิญศิลปินทั่วประเทศวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ โดยไม่มีการแบ่งรั้วแบ่งค่าย และนำพระบรมสาทิสลักษณ์เหล่านั้นมาจัดแสดง กลายเป็นต้นแบบของการจัดอาร์ตแกลเลอรี่ในห้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงเริ่มศึกษาพระราชประวัติของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง

“ผมชอบอ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา พอได้มาศึกษาพระราชประวัติ ทำให้รู้ว่า ความจริงพระองค์ท่านทรงหลุดจากวงโคจรการเป็นกษัตริย์ตั้งแต่ทรงย้ายไปประทับที่ต่างประเทศแล้ว ไม่มีทางที่จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ได้เลย แล้วทำไมพระองค์ท่านจึงทรงมาอยู่ตรงนี้ ทำให้ผมเข้าใจกฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีว่า ‘มนุษย์เรานั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่อดีตชาติ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเหตุบังเอิญ’

“ผมจึงเชื่อว่าพระองค์ท่านทรงถูกกำหนดให้มาทำคุณประโยชน์แก่ประเทศนี้ เป็นตระกูลที่ทำคุณให้แก่แผ่นดินทุกพระองค์ เฉพาะพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวก็ทรงมีโครงการในพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ มีมนุษย์คนไหนทำได้แบบนี้บ้าง ถ้าไม่ใช่ผู้มีบารมี หากคุณไม่สนใจก็อาจมองเป็นเรื่องธรรมดาว่า ก็เพราะเป็นพระเจ้าอยู่หัวนี่ แต่กษัตริย์ในประเทศอื่นมีแบบนี้ไหม หรือการที่คนใส่เสื้อเหลืองทั้งแผ่นดิน มีใครนัดคนให้ออกจากบ้านมาได้มากขนาดนี้ไหม ผู้คนในทุกจังหวัดต่างจุดเทียนชัยถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีใครทำได้บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะพระบารมีที่สั่งสมมา ผมจึงเรียกพระองค์ท่านว่า ‘ภูมิพลโพธิสัตว์’ และถ้าอีกเป็นแสนปีที่มนุษย์เราต้องตายแล้วเกิด ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้กี่โกฏิชาติ ผมเชื่อว่าต่อไปเราอาจได้เรียนรู้เรื่องราวของ ‘ภูมิพลโพธิสัตว์’ เหมือนที่เราเรียนรู้เรื่องพระเจ้าสิบชาติอย่างพระมหาชนกหรือพระเตมีย์ใบ้ก็เป็นได้

“หลังจากอ่านและศึกษาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแล้ว จึงคิดว่าบั้นปลายชีวิตอยากเขียนเรื่องราวของพระเจ้าอยู่หัวให้คนรุ่นหลังได้เห็นไปอีก 300 – 400 ปี ศิลปินประเทศนี้เกือบทุกคนที่เขียนรูปเป็นจะรู้สึกเป็นบุญกุศล และภาคภูมิใจที่ได้เขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเขียนด้วยความเคารพเทิดทูน ใช้ความรู้และความสามารถของเรา เขียนจากการศึกษาและสิ่งที่เรารับรู้ ดังนั้นงานของผมจึงมีเอกลักษณ์คือ พระเจ้าอยู่หัวของผมต้องมีเทวดา มีความยิ่งใหญ่ มีเรื่องราวความเป็นมา ในความรู้สึกผม ไม่ว่าเสด็จฯไปที่ไหนจะมีเทวดาดูแล ถ้าลูกศิษย์ลูกหาผมเห็นปั๊บ ไม่ต้องดูลายเซ็นก็รู้ว่านี่คือผลงานของผม”

จนถึงวันนี้อาจารย์ชูยังวาดพระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวทุกวัน จำนวนเป็นร้อยองค์แล้ว มีทั้งองค์ที่มีคนมาขอซื้อไปบูชาที่บ้าน บางองค์เขาเก็บไว้ที่สตูดิโอส่วนตัว และมีองค์หนึ่งที่เขาวาดและนำไปทูลเกล้าฯถวายที่โรงพยาบาลศิริราช

“การเขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ไม่เหมือนเขียนรูปคนธรรมดา ผมยกมือไหว้ขอพระบรมราชานุญาตก่อนเขียนทุกครั้ง ในความรู้สึกผม การได้เขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ทุกวันก็เหมือนได้เข้าเฝ้าฯทุกวัน เขียนแล้วมีความสุข อย่างพระบรมสาทิสลักษณ์ที่ผมเขียนและนำไปทูลเกล้าฯถวายที่โรงพยาบาลศิริราช ชื่อรูป ‘ไกลกังวล หมายเลข 2’ ภาพของจริงมีพยาบาลและหมอยืนอยู่ด้านหลังพระองค์ท่านที่ประทับรถเข็น แต่ผมวาดโดยให้พระองค์ท่านทรงนั่งพระเก้าอี้สบายๆ กับคุณทองแดง พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯให้ราชเลขาฯส่งหนังสือขอบใจมา ซึ่งผมเก็บหนังสือฉบับนั้นไว้เป็นมงคลชีวิต

“ผมคิดว่าคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อพูดถึงพระองค์ท่านล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเราคุ้นเคยทั้งสิ้น แต่ผมอยากให้ทุกคนมองว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำทุกวันนี้ทรงทำเพื่ออะไร อยากให้ตีโจทย์ตรงนี้ เรื่องความดีงามของพระองค์ท่านคงไม่ต้องยกยอ ไม่ต้องสรรเสริญถวายพระพรให้วุ่นวาย เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจและสายเลือดพวกเราทุกคนหมดแล้ว แต่จงดูสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำ และทำตามด้วยความมุ่งมั่น

“ถามว่าพระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกเพื่ออะไร ทำไมจึงทรงนำเรื่องนี้มาบอกคนไทย พระองค์ท่านทรงมีนัยอย่างไร บางคนดูแค่สนุกและผ่านไป ที่มีความรู้มากหน่อยก็ไม่เชื่ออีกต่างหาก ผมคิดว่าการที่พระองค์ท่านนำเรื่องพระมหาชนกมาสอน เพราะทรงต้องการให้ลูกๆ ซึ่งเป็นคนไทยทั้งหมดยึดความพอเพียง และอย่าถอดใจเวลาทำภารกิจทุกอย่าง เพราะความเพียรจะนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

“ถอดใจ…เท่ากับแพ้”

ภาพ : โยธา รัตนเจริญโชค

ศรัณย์ ภัทโรพงศ์ กับพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง ผลงานของโลเล

ศรัณย์ ภัทโรพงศ์
เมื่อความพอเพียง = ความสุข
เพราะชอบงานศิลปะมาแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งที่มีโอกาสชมพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาต้องรู้สึกอยากได้ไว้ครอบครอง แม้จะออกตัวว่าไม่ใช่นักสะสมศิลปะตัวเป้ง แต่คุณอู๋ – ศรัณย์ เจ้าของรีสอร์ท วิลล่า มารดาดี เชียงใหม่ ก็มักได้เป็นเจ้าของพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงที่มีเทคนิคแปลก และแตกต่างจากที่เห็นกันเกร่อตามท้องตลาด
พระบรมสาทิสลักษณ์สีน้ำ ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผลงานวธน กรีทอง
ความงามของสีน้ำ ผลงาน “วธน กรีทอง” ที่วาดออกมาเท่าไร คุณอู๋เหมาซื้อหมด

ภาพกลาง พระบรมสาทิสลักษณ์เทคนิคแปลกตา ด้วยการเกลี่ยน้ำบนพื้นและถ่ายรูป ผลงานของวรวิทย์ แก้วศรีนวม

“ผมชอบงานศิลปะ แรกๆ ไม่ได้เจาะจงว่าชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่ทุกครั้งที่ดูงานศิลปะที่เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวง ผมจะรู้สึกใจสั่น อยากได้มาอยู่กับเรา ซึ่งงานศิลปะพระบรมสาทิสลักษณ์ของในหลวงส่วนใหญ่มักเป็นงานการกุศล และสร้างสรรค์ขึ้นในหลากหลายเทคนิค ทั้งของคนจบศิลปากรที่ทำงานศิลปะและไม่ได้ทำงานศิลปะ

“กระทั่งสะดุดตาผลงานของคุณวรวิทย์ แก้วศรีนวม ดูไม่รู้ว่าเป็นภาพถ่ายหรือภาพวาด เขาบอกว่าเป็นภาพถ่าย เขานั่งดื่มน้ำแล้วน้ำหก จึงลองเอาน้ำเกลี่ย วาดเป็นพระพักตร์ในหลวงตามจินตนาการ แล้วถ่ายภาพนั้นเก็บไว้ ตั้งชื่อภาพว่า ‘น้ำแห่งชีวิต’ ผมเห็นครั้งแรกแล้วชอบ ขอซื้อเลย เป็นความประทับใจที่เขาคิดตรงกับเรา พระองค์ท่านทรงงานเกี่ยวกับน้ำมากมาย รวมทั้งน้ำพระทัยที่ทรงมีต่อประชาชนด้วย” เขายังได้รู้จักศิลปินผ่านโลกโซเชียลอีกเป็นจำนวนมาก อย่างอดีตผู้กำกับหนังโฆษณา วธน กรีทอง ที่ถึงจุดอิ่มตัวกับงานภาพยนตร์ และอยากกลับมาทำงานศิลปะ จึงหาเลี้ยงชีพด้วยการวาดภาพสีน้ำพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวง

“วันหนึ่งคุณวธนบอกผมว่าจะอดตายแล้ว ผมจึงบอกว่าชอบงานของเขา อยากขอซื้อ ผมเห็นพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงทุกองค์ที่เขาวาดแล้วรู้สึกสะเทือนใจ เพราะเขาจับมุมมองเล็กๆ ของพระองค์ท่านมาขยาย สื่อความหมายได้อย่างกินใจ และเป็นมุมมองที่ทำให้ผมสื่อกับงานศิลปะที่เขาแสดงออกมา จึงเหมาซื้องานของเขามาตลอด จนทุกวันนี้มีงานของเขาไม่ต่ำกว่า 30 องค์ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเท่ากับในหลวงทรงให้โอกาสคนหาเลี้ยงชีพได้ด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน

“ส่วนภาพของศิลปินป็อปอาร์ตชื่อดัง โลเล – ทวีศักดิ์ ศรีทองดี ซึ่งค้นพบเทคนิคนี้จากการวาดพระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ 5 ขณะทรงนั่งทอดปลาทู โดยการใช้สีอะคริลิกรองพื้นชั้นแรก พอสีแห้งปุ๊บสวยเลย ไม่ต้องทำอะไรต่อ พอเป็นในหลวงรัชกาลที่ 9 เขาก็ใช้เทคนิคนี้ ซึ่งคนมองว่าเป็นสีน้ำ แต่ที่จริงเป็นสีอะคริลิกบนผ้าใบ เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงที่ผมรักที่สุดก็ว่าได้ มีความสมบูรณ์ลงตัวโดยไม่ต้องบรรยาย

“พระบรมสาทิสลักษณ์องค์ต่อมา แม้ไม่ใช้เทคนิคพิเศษ แต่ใครเห็นภาพนี้ ส่วนมากต้องถามว่าเป็นภาพถ่ายหรือเปล่า พอบอกว่าเป็นดรออิ้ง ทุกคนจะบอกว่าไม่น่าเชื่อ เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของในหลวงและพระราชินีเสด็จฯไปทรงเยี่ยมประชาชนทางรถไฟ เป็นรูปดรออิ้งขาวดำ ผลงานของลาภ อำไพรัตน์ แม้จะเป็นภาพที่เคยผ่านตามาบ้าง แต่ที่เคยเห็นไม่ชัดเจนเท่ารูปนี้ ผมชอบพระอิริยาบถที่ทรงทักทายประชาชน เห็นแล้วอบอุ่น สามารถจินตนาการย้อนกลับไปตอนที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ได้ เห็นความอบอุ่นและไมตรีของพระองค์ท่าน ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณลาภ จึงรู้ว่างานดรออิ้งมีหลายระดับ แต่งานของเขารูปหนึ่งใช้เวลามาก ใช้พลังเยอะ จึงทำให้งานของเขาละเอียด ซึ่งคนวงการศิลปะหรือคนเขียนดรออิ้งล้วนให้การยอมรับผลงานของเขา เป็นอีกรูปที่ผมประทับใจมาก

“ถ้าย้อนกลับมาดูจะเห็นว่าเป็นเพราะพระบารมีของพระองค์ท่านที่ทรงแผ่ไปถึงประชาชนกลุ่มเล็กๆ ในวงการศิลปะและผมซึ่งเริ่มสนใจงานศิลปะได้มารู้จัก อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เกื้อกูลกัน” ทุกวันนี้พระบรมสาทิสลักษณ์ในหลวงนับร้อยองค์ที่เขามี ได้อัญเชิญไปประดิษฐานในห้องพักภายในรีสอร์ทของเขาทุกหลัง ด้วยเหตุที่ว่า

“ผมชอบคำที่บอกว่า รูปที่มีทุกบ้าน ผมทำรีสอร์ท มีชาวต่างชาติมาพัก จึงอยากให้เขารู้สึกว่าแต่ละห้องเป็นเหมือนบ้านของเขานะ จึงอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ไปประดิษฐานไว้ตามอารมณ์ของห้องนั้นๆ สลับหมุนเวียนกันไป และยังมีอีกหลายองค์ที่ยังไม่ได้ใส่กรอบ ถ้าเจอ ผมก็จะขอเก็บไว้อีก โดยไม่ได้สนใจว่าเป็นผลงานของศิลปินคนไหน ขอให้เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่านก็พอ

“ยิ่งผมนำพระราชดำรัสคำว่า ‘พอเพียง’ ของพระองค์ท่านมาตีความ ทำให้ผมยิ่งเกิดความศรัทธา พระราชดำรัสนี้ลึกซึ้ง ทำให้เราพบความสุขได้ เงินน้อยหน่อย แต่มีความสุข และนำสิ่งนี้มาทำให้ชีวิตครอบครัวเรามีความสุขด้วย ผมคิดว่าถ้าทุกคนในเมืองไทยยึดหลักนี้ ทุกคนจะเกิดความสมดุล ประเทศเราจะมีความสุขกว่านี้

“ถ้าถามว่าผมรักพระองค์ท่านตรงไหน ก็ตรงที่ทรงเป็นผู้ให้ประเทศไทยมาตลอด ซึ่งผมเชื่อเหมือนกับเพลงที่คุณดี้ – นิติพงษ์ แต่งว่า พระองค์ท่านคือเทวดาที่มีลมหายใจ”

เรื่อง : ดั่มดั๊มพ์ ภาพ : โยธา รัตนเจริญโชค, วรสันต์ ทวีวรรธนะ

คุณเต้ย ณรัฐ นภาวรรณ นักสะสมพระบรมฉายาลักษณ์

ณรัฐ นภาวรรณ
นักสะสมพระบรมฉายาลักษณ์นับพันองค์! 
คุณเต้ย – ณรัฐ นภาวรรณ มีความสนใจและสะสมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากมายนับพันองค์ในทุกขนาด และบางองค์ก็มีมูลค่าสูงเกือบแสนบาท แต่เขาก็ยินดีสะสม

พระบรมฉายาลักษณ์ ของสะสมล้ำค่าของคุณเต้ย

“ผมว่าอาจมีคนสะสมพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงมากกว่าผม เพียงแต่เขาจะเปิดตัวหรือเปล่า ผมเริ่มสะสมจากความชอบนี่ละครับ แต่ผมสะสมรวมราชวงศ์ทั้งหมด ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระองค์ไหน ตอนแรกที่ซื้อไม่มีความรู้เลย เพราะไม่มีครูสอน ซื้อของจริงของปลอมก็ไม่รู้ ถ้าชอบและสวยถูกใจก็ซื้อเลย ตอนหลังเริ่มรู้ว่าอันไหนของจริงของปลอม อัดด้วยกระดาษอะไร รู้เรื่องมากขึ้น ก็ไปถูกทิศถูกทาง

“สมัยเด็กผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก่อน ก็สนใจศิลปะ แฟชั่นทั่วไป เหมือนเพิ่งมาระลึกชาติได้ตอนอายุ 30 ปี (หัวเราะ) สงสัยเคยเกิดในยุคก่อน เมื่อถึงเวลาจึงต้องหันมาสะสมภาพพวกนี้ ก็สะสมเรื่อยมา จนตอนนี้มีมากนับพันองค์ คิดเป็นจำนวนเงินก็เยอะอยู่ ต้องบอกว่าผมโชคดีที่ทำกิจการส่งออกของครอบครัว และคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุน ตอนเศรษฐกิจรุ่งๆ กิจการที่บ้านปีหนึ่ง 365 วัน ทำงานกัน 364 วันบวกโอที หยุดวันแรงงานวันเดียว ทำไม่ทันจริงๆ มีออร์เดอร์ล้นข้ามปี แต่ช่วงหลังซบเซาลงมาก ผมก็ทำธุรกิจขายหนังสือเก่าออนไลน์เสริม ชื่อ ‘ร้านหนังสือลุงโจง’”

คุณเต้ยเล่าว่า พระบรมฉายาลักษณ์องค์แรกที่เขาซื้อมาสะสมนั้น ไม่ใช่ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน “เริ่มจากว่าวันนั้นไปเดินแถวตลาดคลองถม แล้วเห็นภาพถ่ายโบราณพวกนี้วางอยู่ มีความรู้สึกว่าอยากได้ ภาพแรกที่ซื้อคือพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 7 ทรงชุดนายทหาร ราคาสัก 3,000 บาท เป็นภาพที่ทำขึ้นใหม่ ไม่ใช่ภาพออริจินัล ซื้อโดยไม่มีความรู้ จนตอนหลังรู้มากขึ้นจึงซื้อมาเรื่อยๆ และเน้นที่พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 8

พระบรมฉายาลักษณ์ เหรียญเดี่ยว
(ซ้ายบน) พระบรมฉายาลักษณ์ที่คุณเต้ยซื้อมาในราคาสูงที่สุดถึง 70,000 บาท (ขวาบน) พระบรมฉายาลักษณ์ “เหรียญเดี่ยว” คุณเต้ยซื้อมาในราคา 35,000 บาท (ล่างซ้ายและขวา) พระบรมฉายาลักษณ์องค์เดียวกัน แต่องค์ขวาใช้เทคนิคการกลับฟิล์ม

พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความคมชัด สวยงาม และเป็นทางการ

“สำหรับในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นเพราะผมเรียนรู้มาว่าพระองค์ท่านทรงทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินมากมาย และผมก็เกิดในรัชสมัย ถ้าถามถึงความประทับใจส่วนตัว ผมชอบพระราชจริยวัตรในสิ่งที่ทรงทำให้ประชาชนอยู่แล้ว ทรงเปรียบเสมือนพ่อ เหมือนพระ ทรงทำทุกอย่างเพื่อคนไทย ไม่เคยเห็นว่าทรงมีวันหยุด จนช่วงหลังมีพระชนมพรรษามากขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะไม่เสด็จออกให้ประชาชนเห็น ก็คงเหมือนพ่อเราที่อายุ 70 – 80 ปีแล้ว จะให้ท่านออกมาเดินทำงานให้เห็นก็คงไม่ใช่ แม้จะทรงพระประชวรอยู่ แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงงานอยู่ตลอด นี่เป็นความประทับใจส่วนตัว แล้วในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ทรงทำประโยชน์สารพัด จึงเหมือนว่าผมโฟกัสไปที่พระราชกรณียกิจ และมีอินเนอร์ว่า พระองค์ท่านทรงทำเพื่อคนไทยมากมาย

“ตอนแรกผมเลือกซื้อจากที่เป็นพอร์เทรตก่อน เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่มีความคมชัด สวยงาม และเป็นทางการ ตอนหลังพออินมากขึ้น บางช่วงก็ไม่มีภาพจะให้ซื้อ จึงขยายขอบข่ายเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในพระอิริยาบถต่างๆ ความจริงพระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดตามบ้าน ตามสถานที่ต่างๆ มีไม่กี่แบบหรอกครับ เวลาจะเลือกซื้อก็ต้องดูองค์รวม ถ้าจะดูว่าเป็นพระบรมรูปเก่าแค่ไหน ก็ต้องเปิดกรอบออกมาเพื่อดูเนื้อกระดาษ เพราะทุกวันนี้มีการทำปลอมด้วยการสแกนระบบดิจิทัล แล้วมีวิธีปรุงให้ดูเก่า หากรอบเก่าโบราณๆ ใส่มาหลอกขายว่าเป็นของเก่าก็เยอะ ซึ่งวิธีที่จะรู้ว่าเก่าจริงไหมคือดูเนื้อกระดาษของภาพ เท่าที่ผมซื้อมาก็ไม่ถึงกับได้เปิดดูเสมอไป ต้องใช้ความเชื่อใจกันในการซื้อ เพราะบางทีก็เปิดไม่ได้หรอก เจ้าของเขาไม่ยอม

“พระบรมฉายาลักษณ์ที่ผมซื้อมาทั้งหมดมีตั้งแต่ราคาหลักร้อยถึงเฉียดแสน ทั้งขนาดโปสต์การ์ดที่ส่วนใหญ่จัดพิมพ์โดยสภากาชาดไทย เพื่อนำออกจำหน่ายหารายได้เข้าการกุศลในสมัยก่อน จนถึงขนาด 20 × 24 นิ้ว ลักษณะเป็นภาพใหญ่ที่ติดตามบ้าน สถานที่ราชการ หรือสำนักงานเอกชน พระบรมฉายาลักษณ์องค์ที่แพงที่สุดคือราคา 70,000 บาท เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงฉลองพระองค์ทหารเรือ แม้จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่คุ้นตากัน แต่เหตุที่มีราคาแพงเพราะความคมชัด ความเก่า แต่สภาพยังสมบูรณ์ ถ้าจะหาพระบรมฉายาลักษณ์เดียวกันนี้ที่มีความคมชัดกว่าที่ผมมีอยู่จริงๆ คงหาได้ยาก

“อีกภาพที่มีราคารองลงมา ผมซื้อในราคา 35,000 บาท ได้มาจากร้านขายข้าวแกงแถวบ้านผมนี่ละ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงประดับเหรียญอิสริยาภรณ์เพียงเหรียญเดียว ในวงการเรียกว่า ‘ภาพเหรียญเดี่ยว’ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายพระรูปขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช พอเสด็จขึ้นครองราชย์ ทางสำนักพระราชวังก็ใช้พระบรมฉายาลักษณ์องค์นี้เป็นทางการแทน เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่เป็นทางการที่เก่าที่สุด หลังจากนั้นก็จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงประดับเหรียญเพิ่มเป็นสองเหรียญ สามเหรียญ ตอนไปขอซื้อภาพนี้ทีแรกภรรยาเจ้าของร้านไม่ยอมขาย จนผมได้เจอตัวเจ้าของร้าน เขาบอกผมว่าถ้าจะซื้อไปขายต่อ เขาไม่ขาย ผมบอกว่าจะซื้อมาเก็บไว้เพื่อสะสม และสักวันหนึ่งจะจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เขาก็ยินดีขายให้เลย ซึ่งราคาขายนี่ เราสามารถสำรวจในตลาดของวงการนี้ได้ว่าน่าจะประมาณเท่าไร แต่เราต้องพิจารณาเองว่าคุ้มและชอบมากพอที่จะจ่ายเงินซื้อหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้ราคาโดดขึ้นมามาก เมื่อเปรียบเทียบกับสิบปีก่อน ราคาขึ้นมาเกือบ 3 เท่า กับอีกเรื่องหนึ่งคือไม่มีของให้ซื้อด้วย เพราะถ้าไปอยู่ในมือของนักสะสมที่มีเงิน โอกาสปล่อยของออกมาก็ยาก แต่ถ้าอยู่ตามบ้านเก่า โอกาสแบบนั้นจะออกมาได้ง่ายกว่า”

“ทุกวันนี้ผมมีอยู่เป็นพันองค์นะครับ บางทีก็ซื้อมาซ้ำกัน ไม่ใช่ว่าลืม แต่คงเป็นเสน่ห์ของภาพเก่า อย่างตอนแรกที่ซื้อมา บางองค์มีรอยนิดหน่อย ไม่สวยงามสมบูรณ์ พอไปเจออีกองค์สภาพดีกว่านิดหนึ่งก็ซื้อ พอเจอองค์ที่สามสภาพดีกว่าก็ซื้ออีก องค์ที่สี่สภาพไม่ดีเลย แต่เขาขายราคาถูก ก็ซื้ออีก ซึ่งทุกองค์ที่ผมมี ผมไม่เคยสั่งให้ไปปลดมาจากฝาบ้านหรือสถานที่ไหนของใครมาขายผมนะครับ” (หัวเราะ)

สำหรับพระบรมฉายาลักษณ์ที่มีอยู่มากมายนั้น คุณเต้ยมีความฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมได้ “พระบรมฉายาลักษณ์ที่มีตอนนี้ ผมยังไม่ได้จัดเป็นหมวดหมู่ เพราะยังไม่มีเวลา คิดว่าเท่าที่มีอยู่ก็มากพอจะจัดเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เพราะต้องบำรุงรักษา ปรับปรุงอีกหลายอย่าง ซึ่งผมยังไม่พร้อม และอยากใช้กำลังทรัพย์ของตัวเองมากกว่า ผมอยากทำให้คนเข้าชมได้เรียนรู้ อยากให้เด็กรุ่นใหม่เห็นว่าพระบรมฉายาลักษณ์สมัยก่อนเป็นอย่างไร กระดาษที่ใช้อัดรูปเมื่อก่อนเป็นอย่างไร แต่ถ้าทำจริงๆ ก็คงไม่ทำเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต มีการเก็บค่าเข้าชมมากมาย เอาแค่ช่วยเป็นค่าน้ำค่าไฟก็พอ ถามว่าฐานะผมลำบากไหม ก็ไม่ลำบาก แต่ไม่ใช่รวยล้นฟ้าขนาดนั้น

ผมว่าเป็นความสุขที่ได้แบ่งปัน บางคนอยากเห็น อยากมี แต่ไม่มีโอกาส ก็ถือว่าได้แบ่งปันให้ชมกัน

ต่อหน้า 2
คลิกหน้าถัดไปด้านล่าง

Praew Recommend

keyboard_arrow_up