เจฟฟ์ เบซอส อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก กับทรัพย์สินที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่มีหมด

account_circle

เจฟฟ์ เบซอส อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก เจ้าของ Amazon.com กับทรัพย์สินในครอบครองมูลค่าสุทธิ 186.6 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐ ใช้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด!

ใช่ค่ะ คุณอ่านไม่ผิด 186.6 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐ  เอาสิบนิ้วของคนล้านคนขึ้นมานับก็ยังนับไม่พอเลยค่ะคุ้ณ ล้มแชมป์ บิลล์ เกต ที่รวยติดอันดับ 1 ของโลกมาหลายสมัย ชนิดที่ว่าแซงหน้าบิลล์ไปแบบไม่ทันตั้งตัว

แต่ใช่ว่านายเบซอสจะรวยแต่กำเนิด โนค่ะ เขาก็เป็นคนธรรมดา ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ใจเด็ดลาออกจากงานประจำที่มั่นคง เพื่อมาทำตามความฝันจนประสบความสำเร็จ ดวงคนจะรวย เอาแมมมอธมาฉุดก็ไม่อยู่เด้อ แต่ถึงจะรวยล้นฟ้า เจฟฟ์กลับใช้ชีวิตแบบติดดินสุดสมถะ และยังทำงานเหมือนคนเดินดินทั่วไป

แพรวพาส่องชีวิตประจำวันของ เจฟฟ์ เบซอส ชายที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลกประจำปี 2018 และดูเหมือนว่าในปีต่อไปๆ ก็ยังคงเป็นเขาอีกแน่นอน เพราะอะไร ต้องตามไปอ่าน แต่บอกได้คำเดียวว่า หากคุณมีวิธีคิดแบบผู้ชายคนนี้ คุณอาจจะรวยโดยไม่รู้ตัว ก็เป็นได้

“I knew that if I failed I wouldn’t regret that, but I knew the one thing I might regret is not trying.” – Jeff Bezos (ผมรู้ว่าถ้าผมผิดพลาด ผมจะไม่เสียใจ แต่ผมจะเสียใจแน่นอนถ้าไม่ได้ลงมือทำ)

เจฟฟ์ เบซอส
นายไมค์ เบซอส และ นางแจ็คลิน เบซอส

เจฟฟ์ เบซอส หรือชื่อเต็ม Jeffrey Preston Jorgensen เป็นลูกชายของ Ted Jorgensen และ  Jacklyn Preston  Gise ในช่วงที่เจฟฟ์เกิดนั้น Ted เพิ่งจะอายุ 18 ส่วน Jacklyn (คุณแม่วัยใส) อายุ 16 เรียกได้ว่าทั้งคู่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น อาจจะเพราะสาเหตุนี้ทำให้เท็ดไม่ใส่ใจลูกเท่าที่ควร วันๆ เขาเอาแต่กินเหล้าจนเมา และไม่ทำงานทำการ ทำให้แจ็คลินหมดความอดทน ขอหย่ากับเท็ดขณะที่อยู่กินกันมาเพียง 1 ปี

หลังจากนั้นเธอก็เลี้ยงดูเด็กชายเจฟฟรีย์เรื่อยมาจนเขาอายุครบ 4 ขวบ จึงได้แต่งงานใหม่กับ Miguel Bezos หรือไมค์ เบซอส ชายชาวคิวบาที่อพยพเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ไมค์ดูแลและรักหนูน้อยเจฟฟรีย์เสมือนลูกแท้ๆ ของเขา และเจฟฟ์ก็รักไมค์มากเช่นกัน ถึงแม้เขาจะเพิ่งมารู้ความจริงเมื่อตอน 10 ขวบ ว่าจริงๆ แล้วไมค์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขาก็ตาม

เจฟฟ์จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาวิศวคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิคส์ จากมหาวิทยาลัย Princeton ในปี 1986 หลังจากเรียนจบเขาทำงานหลากหลายบริษัทใน Wall Street เช่น Fitel, Banker Trust ก่อนลาออกในที่สุดท้ายคือ  D. E. Shaw & Co ในตำแหน่งรองประธานอาวุโส ด้วยวัยเพียง 28 ปี และที่นี่เองที่เขาได้พบรักกับ Mackenzie S. Tuttle ภรรยาที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้

เด็กชายเจฟฟ์หนอนหนังสือตัวยง ตอนเด็กๆ เขาชอบอ่านหนังสือมาก และในวัย 5 ขวบ เจฟฟ์เคยดูการถ่ายทอดการลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอวกาศ Apollo 11 นั่นทำให้เขาใฝ่ฝันว่าจะต้องเป็นนักบินอวกาศให้ได้ และถึงแม้เมื่อโตขึ้นมาแล้วเจฟฟ์จะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ แต่ความฝันที่อยากขึ้นไปบนนั้นก็ไม่ได้หายไป เขาสานฝันต่อโดยการก่อตั้งบริษัท Blue Origin ในปี 2003 พร้อมกับทดลองสร้างจรวด แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุทางเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งทำให้เขาเข็ดจนไม่กล้าขึ้นมันอีกเลย

ในวันที่ยังไม่มี Google สองสามีภรรยาร่วมกันก่อตั้งบริษัทขายหนังสือออนไลน์ ซึ่งในสมัยก่อนเวลาค้นหาเว็บไซต์จะเริ่มต้นด้วยตัวเลข 1 ไปเรื่อยจนถึงตัวอักษร A-Z โดยชื่อแรกที่พวกเขาตั้งคือ Aard.com และยังมีอีกหลายชื่อที่เขาและภรรยานำไปจด ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นข้อดีเพราะค้นหาง่าย แต่เหมือนอะไรมาดลใจเมื่อเจฟฟ์กวาดสายตาไปในหนังสือและพบกับคำว่า Amazon อย่างที่รู้กันดีว่า แม่น้ำอเมซอนเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และชื่อนี้ก็เป็นอีกนัยยะหนึ่งว่า เขาอยากให้อเมซอนเป็นคลังหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน

ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย สองสามีภรรยาเริ่มจากใช้โรงรถที่บ้านมาทำเป็นออฟฟิศ จากพนักงานที่มีกันอยู่สองคน (ตัวเขาและภรรยา) ก็เริ่มขยับมาเป็น 4 คน ด้วยเงินทุนเพียง $10,000 อาจจะฟังดูแล้วเหมือนง่ายที่เริ่มต้นด้วยเงินและคนเพียงเท่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาต้องยืมเงินจากญาติและธนาคารร่วมล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงนำทรัพย์สินที่มีไปจำนองเพื่อนำไปจ้างทีมงานระดับเทพให้มาเขียนโปรแกรม รวมถึงตัวเขาเองก็ร่วมเขียนกับทีมงานด้วย กว่าจะสำเร็จพร้อมเปิดตัวเว็บไซต์อเมซอนบอกเลยว่าไม่ง่าย

เมื่อสำเร็จแล้วจะรักษายังไง ใช่ว่าเจฟฟ์จะไม่เจออุปสรรคเลยกับการก่อตั้งอเมซอนและธุรกิจอื่นๆ ของเขา ธุรกิจของเจฟฟ์เคยขาดทุนย่อยยับ สูญเงินไปกว่า 270 ล้านดอลลาห์สหรัฐ ผ่านวิกฤตฟองสบู่แตก และอื่นๆ อีกมากมาย กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของโลก บอกเลยว่าไม่ง่ายอีกเช่นกัน

Related image

คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่แค่มีเงินเท่านั้น ดังเช่น เจฟฟ์ในวันนี้ วันที่เขาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ชีวิตประจำวันของเขาก็ยังคงทำเหมือนเดิมตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจากศูนย์ เจฟฟ์ยังคงทำงานหนักทุกวัน แต่ก็ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยแม้แต่วันเดียว และถึงเขาและอดีตภรรยาจะมีลูกแท้ๆ ของตัวเอง แต่ก็ยังใจบุญรับเด็กหญิงชาวจีนมาเป็นลูกบุญธรรมอีกคน

เจฟฟ์ เบซอส

คงไม่มีใครตื่นนอน โดยไม่ใช้นาฬิกาปลุก แต่ไม่ใช่กับเจฟฟ์ เขาไม่เคยใช้นาฬิกาปลุกเลย แต่กลับใช้วิธีตื่นแบบธรรมชาติ!!! ทำได้ยังไงน่ะเหรอ เบสิคค่ะ ก็แค่นอนหลับให้เพียงพอ เจฟฟ์ต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เขาบอกว่าถ้าร่างกายเรานอนเพียงพอแล้ว มันจะรู้ว่าถึงเวลาตื่นด้วยตัวเอง สมองจะเป็นตัวปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และเมื่อตื่นนอนมาแล้วเขามักจะทานอาหารที่มีประโยชน์รวมถึงการไปออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ ทุกวัน

การประชุมสำหรับบางบริษัทอาจจะสำคัญ แต่สำหรับมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก เขาใช้เวลาพบปะและประชุมกับนักลงทุนที่ร่วมทุนกับอเมซอนเพียง 6 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้น !

มีบ้างบางครั้งที่เขาระเบิดอารมณ์ใส่พนักงาน ด้วยเหตุนี้เลยมีข่าวลือออกมาว่า เขาต้องจ้างโค้ชพิเศษเพื่อช่วยทำให้โทนเสียงเขาเบาลง อันนี้จริงหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่บางทีคนเราก็มีอารมณ์กันบ้างล่ะ ยิ่งเป็นถึงเจ้าของบริษัทอเมซอนที่มีพนักงานเยอะขนาดนี้

เจฟฟ์ เบซอส

หากออฟฟิศไหนมีข้าวกลางวันให้ทานทุกวันก็คงจะประหยัดไปได้โข ซึ่งเจฟฟ์ก็คงจะเล็งเห็นข้อนี้ดี พนักงานอเมซอนจึงไม่ต้องเสียเงินค่าข้าวกลางวันเลยสักบาท

อาหารเช้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่นเดียวกับเจฟฟ์ อาหารเช้าของเขามักเน้นแต่ของสุขภาพ แต่ก็มีบางครั้งที่อาจจะแปลกไปบ้าง… อย่างครั้งที่เขาร่วมประชุมกับผู้ก่อตั้งแมตต์วูต Rutledge เขาสั่งปลาหมึกยักษ์,มันฝรั่ง,เบคอน, ซอสกระเทียม, โยเกิร์ต และไข่เป็นอาหารเช้า คุณว่าแปลกไหมล่ะ?

StarTrek.com

จากการที่เขาชอบและสนใจเกี่ยวกับอวกาศ Star Trek จึงเป็นหนังเรื่องโปรดที่เขาชอบดูตั้งแต่วัยเด็กและเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อได้กำไรจากการทำธุรกิจ ครอบครัวเบซอสก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคม เจฟฟ์และแมคแคนซีเคยบริจาคเงินเป็นจำนวนถึง 33 ล้านดอลลาห์สหรัฐให้กับ องค์การ The Dream US เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับ 70 โรงเรียน และนักเรียนกว่า 3,000 คนทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา

ใครๆ ก็รวยเป็นเศรษฐีได้ บางคนเกิดมารวยเลย หรือบางคนรวยจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง รวมทั้งบางคนรวยแบบฟ้าผ่าจากการเสี่ยงโชคก็มี แต่เราจะรักษาความรวยให้คงอยู่กับเราตลอดไป และทำให้งอกเงยขึ้นมาได้อย่างไร อย่าลืม ! หากคุณใช้โดยไม่คิดอะไร เงินก็ไม่ต่างกับเศษกระดาษที่ใช้แล้วก็หมดไป

ที่สำคัญ ! เงินที่ได้มาต้องสุจริต ไม่เบียดเบียน ไม่คดโกงใคร แบบนั้นถึงจะเป็นเงินที่มีคุณค่า


ภาพและข้อมูล : danwoolsey.com www.businessinsider.com, time.com, @jeffbezos

Praew Recommend

keyboard_arrow_up