BUSAN & GYEONGJU รู้อย่างนี้ไปตั้งนานแล้ว (ตอนที่ 1)

ฉันเคยไปประเทศเกาหลีใต้มานานหลายปีแล้วไม่เคยคิดจะไปอีก ไม่ว่าใครๆ จะแห่ไปกันมากแค่ไหน และไม่ว่าภาพยนตร์ นักร้อง หรือศัลยกรรมเกาหลีโด่งดังเพียงใด เพราะภาพที่ลูกสาวถูกคนกระแทกจนตกข้างทาง ส่วนฉันเองถูกผลักและชนตลอดเวลาที่เดินช็อปปิ้งยังอยู่ในความทรงจำ

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟังเพื่อนๆ หลายคนพูดถึงปูยักษ์รสเลิศที่ปูซาน ทำให้ฉันอยากลองบ้าง และยังนึกถึงหมูย่างเกาหลีและไก่ดำตุ๋นยัดไส้ข้าวเหนียวกับโสมของโปรดขึ้นมาตงิดๆ จึงคิดว่าจะไปลองดูอีกสักครั้งปรากฏว่ากลับไปเกาหลีคราวนี้ ทำให้อคติเก่าๆ ของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

4

ถึงแล้วปูซาน…!

ปูซานเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้และใหญ่เป็นอันดับสองรองจากกรุงโซล แต่ถึงแม้จะมีคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเต็มเป็นดอกเห็ด ทว่าปูซานก็มีเสน่ห์ด้วยวิวทะเลสวยล้อมรอบ…วันแรกเที่ยวบินของเราพาฉันและสามีไปถึงตั้งแต่เช้าตรู่ แต่โรงแรมที่นั่นให้เช็กอินตอนบ่ายแก่ พวกเราจึงต้องทิ้งกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนขึ้นแท็กซี่ไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ สวนสาธารณะยงดูซาน (Yongdusan Park) ซึ่งอยู่บนภูเขาใจกลางเมือง…ทางขึ้นเป็นอุโมงค์และมีบันไดเลื่อนหลายชั้น จนฉันนึกว่ากำลังขึ้นไปบนศูนย์การค้า แต่พอออกจากบันไดเลื่อนก็เห็นวัดจีนสวยงามอยู่ตรงทางขึ้นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยสีเขียวขจี ด้านหนึ่งของบันไดเลื่อนเป็นสถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง มีผู้สูงอายุกำลังใช้บริการกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเดินขึ้นไปสักพักก็มาถึงลานกว้างล้อมรอบด้วยรั้วซึ่งมองเห็นสีสันสดใสแต่ไกล ทั้งแดง ฟ้า เหลือง ฯลฯพอเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นพลาสติกรูปหัวใจคล้องกันด้วยกุญแจนับพัน ๆ คู่ ทุกอันมีลายมือซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเกาหลีเขียนไว้ ถึงแม้จะอ่านไม่ออก แต่ฉันพอเดาได้ว่า บรรดาคู่รักคงพากันมาให้คำมั่นสัญญา ส่วนกุญแจก็คล้องไว้เพื่อเป็นการล็อกความรักของคนสองคนให้อยู่ด้วยกันตลอดไป ที่กรุงโซลก็มีแบบนี้ แต่ไม่สวยเท่าที่นี่…ฉันว่าเป็นอะไรที่โรแมนติกมากแต่ไม่กล้าทำ เพราะกลัวจะต้องผูกติดกับคุณสามีทุกชาติไป…!(ฮา)

3

หอคอยปูซาน (Busan Tower) ตั้งอยู่บนลานนี้ สูงกว่าระดับทะเลถึง 118 เมตร เราต้องซื้อตั๋วราคา 150 บาทเพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพข้างบน ซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นเมืองปูซานแบบ 360 องศา ยิ่งกว่านั้น วันไหนที่อากาศใสจริง ๆ จะมองเห็นไปถึงประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

พวกเรานั่งดื่มกาแฟพลางชมวิวจากโต๊ะ ซึ่งตั้งติดกับกระจกกว้างส่วนผนังอีกด้านหนึ่งปูด้วยกระเบื้องเล็ก ๆ รูปหัวใจที่มีลายมือเขียนไว้เช่นกัน ฉันว่าที่นี่น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “หอคอยแห่งรักนิรันดร์” มากกว่า…ตามทางลงเราแวะถ่ายรูปกับระฆังยักษ์และรูปปั้นแม่ทัพเรือยีซุนชินวีรบุรุษของเกาหลีในคริสต์ศตวรรษที่ 16

ตระเวนท่องเคียงจู

วันรุ่งขึ้นเราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งนั่งรถบัสไป เคียงจู (Gyeongju) เมืองเก่าแก่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์ไร้กำแพง”เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก พอไปถึงก็มีคนขับแท็กซี่เข้ามาติดต่อขอพาเราไปเที่ยวในราคา 3,000 บาท ภายใน 5 ชั่วโมง ฉันจึงรีบเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สำหรับนักท่องเที่ยว (Tourist Information) ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันว่า บริการประเภทนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า ปรากฏว่าไม่มีทางเลือก เนื่องจากซิตี้ทัวร์ของทางการที่ราคาถูกกว่ามากออกไปหมดแล้วในตอนเช้า แต่นับว่าดี เพราะทำให้พวกเราเที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ และยังทำให้ฉันเห็นอุปนิสัยที่พัฒนาขึ้นของคนเกาหลีใต้อีกด้วยเพราะคนขับมีอัธยาศัยดีมาก ถึงแม้พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่เขาก็พยายามอธิบายและดูแลพวกเราอย่างดี

6

เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่มาบอกเราว่า ต้นไม้ที่ออกดอกสีขาวเหมือนสำลีเต็มต้นสองฟากถนนเป็นซากุระ ทั้งที่ความจริงคือ ดอกไม้ชื่อแปลกว่า…อีผับ! สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เนินเขาเตี้ย ๆ ทั้งใหญ่เล็กมากมายซึ่งตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเนินธรรมชาติ แต่แท้จริงคือสุสานของกษัตริย์และข้าราชสำนักแห่งอาณาจักรชิลลาตอนต้น ซึ่งอยู่ภายในสุสานหลวงทูมูลีที่ใหญ่สุดคือ สุสานชอนมาชอง (Cheonmachong Tomb) ในปี ค.ศ. 1973 มีการขุดพบสมบัติล้ำค่าจำนวนมากในห้องฝังพระศพที่ก่อขึ้นจากไม้และหิน

จากสุสานนี้เราเดินทางต่อไปอีกประมาณ 40 นาที ก็มาถึง วัดพุลกุกซา (Bulguksa Temple) มรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง เดิมเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ แต่ในรัชสมัยพระเจ้าเคียงต๊อกแห่งอาณาจักรชิลลาได้มีการบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นจนสวยงาม ใกล้กับวัดคือ ถ้ำซอกกูรัม (Seokguram Grotto) พุทธสถานนิกายมหายาน ตั้งอยู่บนด้านหนึ่งของภูเขาโตฮัมซัน

จากปากถ้ำมีเส้นทางลัดเลาะตามไหล่เขาไปยังวัดเก่าแก่ ซึ่งสร้างด้วยหินแกรนิตรูปโดม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนขนาดใหญ่ที่งดงามมากและรูปปั้นพระโพธิสัตว์พร้อมเทพยดารายรอบ ผนังถ้ำด้านหลังทำด้วยหินแกรนิตแกะสลักอย่างประณีต วัดนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์กียองดุก ด้วยความหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยปกป้องราษฎรของพระองค์ พอชมทั้งสองสถานที่เสร็จ สามีกับฉันก็ประจักษ์แจ้งว่าชาวเกาหลีคงมีข้อเข่าที่ดีมาก เพราะกว่าจะดูทั่วทั้งสองแห่ง พวกเราต้องปีนขึ้นลงบันไดกันจนเหงื่อตก!

7

เรารู้สึกโล่งอกตอนไปสระอันอั๊บจิ (Anapji Pond) ซึ่งอยู่บนพื้นราบ สระนี้เคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจชองราชวงศ์ มีบริเวณกว้างขวางน่าเดินเล่นมาก จากนั้นพวกเราไปชม หอดูดาวช็อมซองแด (Cheomseongdae Observatory) แม้จะสูงเพียง 9.17 เมตร แต่น่าสนใจตรงที่เป็นหอดูดาวเก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 7 สมัยพระราชินีซอนด๊อกแห่งราชวงศ์ชิลลา โดยใช้หินแกรนิตจำนวน 362 ก้อนและใช้เวลาก่อสร้าง 362 วัน สามารถใช้ดูการเคลื่อนไหวของดาวและสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบันได้รับการจัดให้เป็นสมบัติแห่งชาติเกาหลีใต้ลำดับที่ 31

ฉันเองชอบบริเวณโดยรอบที่ตั้งของหอดูดาวนี้มากกว่า ดูเผิน ๆ เหมือนมีเนินเขาเตี้ย ๆ เป็นฉากหลัง แต่ความจริงคือหลุมฝังศพอีกนั่นแหละ ฉันเดาว่าที่เขาทำหลุมศพให้ใหญ่จนมองเห็นได้ตลอดเวลาคงเพราะต้องการให้ทุกคนระลึกถึงความตายอยู่เสมอ เป็นการเตือนสติไม่ให้ใช้ชีวิตอย่างประมาท และถ้าวิญญาณมีจริง ผู้ตายคงมีความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และมองดูลูกหลานวิ่งเล่น ขี่จักรยานและเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน เราใช้เวลา 5 ชั่วโมงกันอย่างคุ้มค่าก่อนจะแวะกินบิบิมบับหรือข้าวยำเกาหลี อาหารจานโปรดของฉัน แล้วขึ้นรถบัสกลับปูซาน การเดินทางไปมาระหว่างสองเมืองนี้นับว่าสะดวกมากเพราะมีรถบัสแทบตลอดเวลาในราคาเพียงคนละ 300 บาท

ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 872 ปักษ์ที่ 25 ธันวาคม 2558

Praew Recommend

keyboard_arrow_up