หยิบเอาชิ้นนี้ขึ้นมาเขียนถึงเพราะนึกขึ้นได้ว่ามีสกินแคร์อยู่ไม่กี่ชิ้นที่ไม่ว่าจะมีอะไรใหม่มาให้ลอง ก็ต้องมีเหตุให้วนเวียนกลับมาใช้อีกจนได้ สำหรับพัดชา ‘The Treatment Lotion’ ของลาแมร์คือหนึ่งในนั้น ยิ่งล่าสุดเพิ่งเจอกับปัญหาผิวลอกเป็นขุยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นสัญญาณว่าเราต้องกลับมาซบอกแฟนเก่าที่ไม่เคยบอกเลิกกันขวดเดิมนี้อีกครั้ง
ว่ากันด้วยสภาพผิวของพัดชาตอนนี้ที่กำลังเผชิญคืออาการขาดน้ำจากการที่เราทั้งดื่มน้ำน้อย บวกกับความเครียดจากชีวิตประจำวัน การเข้า-ออกระหว่างห้องแอร์กับแดด ที่ทำให้ผิวของเราเหมือนงงว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี แถมๆๆ ยังมีวันนั้นของเดือนเข้าไปอี๊กกก ความไม่เสถียรของทั้งไลฟ์สไตล์และสภาพร่างกาย เหล่านี้เองทำให้ผิวเริ่มออกอาการทั้งมัน แห้งและลอก ส่งสัญญาณ SOS ว่าฉันไม่ไหวแล้วนะหล่อน!!!
‘The Treatment Lotion’ โลชั่นที่ ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว’
โอเค ใจเย็นๆ เราตามแฟนคนเดิมมาช่วยแล้ว La Mer ‘The Treatment Lotion’ ในขวดสีเขียวหรูหราตามสไตล์ของลาแมร์นี้ถามว่าเหมาะกับใคร ต้องบอกเลยว่าเหมาะกับผิวทุกประเภท ช่วงที่ผิวพังๆ พัดชาก็พบว่าใช้ตัวนี้แล้วผิวสงบดี สำหรับช่วงสภาพผิวธรรมดาๆ หรือดีงามตามปกติ ในวันที่ขี้เกียจจริงๆ แอบใช้ตัวนี้ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์แล้วปิดจบเลยก็ยังได้
อันนี้ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นชิ้นที่ขายดีติดท็อปทรีของลาแมร์ในประเทศไทย เพราะเขาเป็นชิ้นกลางๆ ที่เหมาะไว้ใช้ในทุกฤดูกาลแบบ Daily Use ที่พัดชาหยุดใช้ไปบ้างก็เป็นเพราะมีของเล่นใหม่ๆ เข้ามาให้ลองเลยต้องพักไปบ้างก็เท่านั้น
‘Miracle Broth’ ของดี ในขวดนี้มีไหม?
หากหลงรัก Crème de La Mer เหลือเกิน ส่วนผสมเลอค่า ‘Miracle Broth’ น้ำหมักสกัดจากสาหร่าย Sea Kelp ในตำนานที่มีในครีมนั้นเป็นส่วนประกอบหลักของโลชั่นตัวนี้เช่นกัน
ถามว่าคุณสมบัติของเขาคืออะไร ‘Miracle Broth’ คือส่วนผสมที่ให้ผลกับกระบวนการเสริมสร้างผิวใหม่ หรือช่วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนขั้นสุด ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่น ปลอบประโลมผิวจากอาการไม่เสถียรต่างๆ แบบที่พัดชากำลังเผชิญให้สงบลง และแน่นอนคุณสมบัติทั้งหมดนี้จะทำให้ผิวดูเรียบเนียนเปล่งประกายสวยงามอย่างที่ฝัน
ส่วนผสมอีก 2 ตัวที่แท็คทีมกับ ‘Miracle Broth’ คือ ‘Softening Waters’ เป็นส่วนผสมระหว่างไมโครเจลจากสาหร่าย และไฮยาลูรอนิคช่วยให้ผิวนุ่มเด้งน่าสัมผัส และ ‘Revitalizing Ferment’ น้ำหมักอีกสูตรหนึ่งจากสาหร่ายอีกชนิดซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทะเลทรายซาเฮล ทวีปแอฟริกา ซึ่งขึ้นชื่อหนักหนาเรื่องความทนถึกขั้นเทพ สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการสกัดมาใช้ในประเทศที่มีอากาศแปรปรวนโหดร้ายอย่างบ้านเรา
หยาดหยดแสนละมุนสไตล์ลาแมร์
ว่าแล้วพัดชาโชว์วิธีการใช้ให้ดูไปเลยดีกว่า เนื้อสัมผัสของ ‘The Treatment Lotion’ เป็นเนื้อกึ่งเจลเกือบใสแต่ไม่ถึงกับไหลแบบน้ำ อย่างที่เห็นภาพคือจะยังมีความหนืดอยู่นิดๆ เมื่อทาลงบนผิวจะรู้สึกได้ถึงความเย็นๆ ฉ่ำๆ นุ่มลื่น พร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่นที่ไม่รู้จะบอกว่าคือกลิ่นอะไร แต่แฟนๆ คงรับรู้ได้ตรงกันว่านี่คือกลิ่นแบบลาแมร์ ซึ่งจะมีความสดชื่นให้ฟิลลิ่งที่เชิญชวนให้เอนกายพักผ่อน พัดชาเคยหยิบเวอร์ชั่นขวดเล็กของเจ้าตัวนี้พกพาไปสำหรับเดินทาง ขอบอกเลยว่าความรู้สึกและกลิ่นของเขาช่างเข้ากับการวาเคชั่นเป็นอย่างยิ่ง
ขั้นตอนการใช้แบบกึ่งฟรีสไตล์
ตัวโลชั่นหรือน้ำตบทำนองนี้ค่อนข้างมีขั้นตอนการใช้ที่แล้วแต่ชอบอยู่หน่อยๆ ที่แน่ๆ คือใช้เป็นขั้นตอนที่ 1 หรือ 2 ของลำดับสกินแคร์หลังจากล้างหน้า หากใช้โทนเนอร์ก็เช็ดโทนเนอร์เสียก่อน ส่วนถ้าไม่ใช้ก็ให้จัด ‘The Treatment Lotion’ เอาไว้อันดับแรก
วิธีใช้บ้างก็หยดใส่อุ้งมีทาให้เนื้อโลชั่นกระจายตัวเล็กน้อยแล้วกดเบาๆ เหมือนกับน้ำตบอื่นๆ หากมีเวลาหน่อยลองเทคนิคเก๋ๆ อย่างการนำมาหยดลงบนชีทมาส์ก แล้วมาส์กหน้ากันไปเลยก็ได้หน้าเนียนนุ่มจัดเต็มดี
ส่วนตัวพัดชาเองเป็นคนติดสำลี ใช้วิธีหยดเนื้อโลชั่นลงบนสำลีแล้วเช็ดขึ้นเบาๆ ทั่วหน้า อย่าลืมทาส่วนที่เหลือลงบนช่วงคอและเนินออก อย่าให้เหลือนะ….เสียดายแย่
สรุปผลลัพธ์หลังรียูเนียน
แฟนเก่าเรายังแซ่บเหมือนเดิม เอากลับมาใช้กี่รอบก็ยังประทับใจจนคราวนี้ต้องใช้ยาวๆ ไปเลยแหล่ะ ผลลัพธ์หลังใช้ The Treatment Lotion ประมาณ 5 วันก็เริ่มปรากฏเห็นชัดว่า
- ผิวที่มันๆ แห้งๆเป็นหย่อมเริ่มคืนความสมดุลย์เป็นปกติทั่วทั้งใบหน้า
- รอยแดงและแอบคันบริเวณหน้าผาก และผดเล็กๆ ข้างแก้มที่ไม่ทราบว่าเกิดจากการแพ้อะไรก็หายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
- ผิวที่เป็นขุยๆ ลอก กลับเนียนเรียบ
- โดยรวมรู้สึกชุ่มชื่นขึ้น ผิวดูเด้งๆน่าจับ
- ที่ชอบสุดๆ คือความรู้สึกเรียบเนียนที่พิสูจน์ได้ชัดเมื่อแต่งหน้าแล้วติดทนนาน ทำให้การแต่งหน้าตอนเช้าเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
สรุปว่า ‘The Treatment Lotion’ ถือเป็นชิ้นที่ใครอยากมีประสบการณ์การใช้ลาแมร์ควรจะได้ลองเป็นชิ้นแรกๆ ด้วยคุณสมบัติที่ใช้ง่ายเหมาะกับสถานการณ์หลากหลาย และราคาที่ไม่ได้เกินเอื้อมขนาดภาพที่คิดๆ กัน 100 Ml 3,300 บาท และ 150 Ml. ราคา 4,900 บาท
กลับมาคราวนี้สัญญาจะไม่นอกใจ